Larson Studios ซึ่งประกอบไปด้วย Rick Larson และภรรยาที่เป็นหุ้นส่วน Jill Larson ได้ออกมาบอกว่าเมื่อสิ้นปีที่แล้วได้รับ Message มาจาก Hacker ที่แฮ็คเข้าไปใน Studio ของพวกเค้าแล้วบอกว่าจะปล่อยหนังทั้งหมดสู่โลก online ถ้าไม่ยอมจ่ายค่าไถ่

Larson Studios เป็น Studio ที่ทำหนังให้กับ Netflix และเจ้าอื่นๆอีกมากมาย ทาง Studio ได้รับ message ว่า Hacker ที่ชื่อว่า “Dark Overlord” ได้แฮ็คเข้าไปในระบบของพวกเค้า แล้วได้ครอบครองหนังที่ถูกทำในส่วน post-production ของลูกค้าของพวกเค้าไว้แล้ว ซึ่ง Series “Orange is the new black” ที่ถูกผลิตโดย Netflix ถือเป็นหนึ่งในหนังที่ถูกแฮ็คไปด้วย ทาง Studio ได้รีบทำการติดต่อ FBI ในวันถัดมาหลังจากตรวจสอบ แต่ไม่แน่ใจว่าเนื่องด้วยวันนั้นเป็นวันคริสมาสต์หรือไม่ ทาง FBI เลยไม่ค่อยได้ช่วยอะไรมากนัก โดยทาง FBI ให้ทาง Studio กรอก form แค่นั้น ซึ่งไม่ได้มีการบอกว่าจะต้องทำอย่างไรกับการเรียกร้องค่าไถ่ดังกล่าว ดังนั้น Studio จึงได้จาก security expert เข้ามาช่วยแทน

พบว่า Dark Overlord ไม่ได้เฉพาะเจาะจงจะมาเจาะ Server ของ Larson Studios แต่อย่างใด แต่เป็นการ Dark Overlord ไล่ scan internet PC ไปทั่วเพื่อหา Windows รุ่นเก่าๆ เพื่อจะให้สามารถเข้าเจาะได้ง่ายๆ ซึ่งทาง Studio ใช้เป็น Windows 7  และแน่นอนว่า Studio ไม่ยอมจ่ายเงินในทันที ก็ได้รับหลักฐาน ในช่วงท้ายๆของเดือนมกราคมทาง Dark Overlord มีการส่ง Title ต่างๆของ Netflix, ABC,CBS แลพ Disney กลับมาให้ ซึ่งทำให้ Studio ได้ตัดสินใจจ่ายเงินค่าไถ่ โดย Hacker ได้เรียกร้อง 50 bitcoin ซึ่งในตอนนั้นราคาอยู่ที่ประมาณ 50,000$

ในวันที่ 6 กุมภาพันธ์, นักสืบ John Palmieri ซึ่งเป็น Cyber-crime specialist จากสำนักงานใน Los Angeles ได้ติดต่อกับ Jill Larson ได้กล่าวว่าไม่ควรจ่ายเงินค่าไถ่และไม่ติดต่อใดๆกับกลุ่ม Hacker แต่ก็เข้าใจว่า Studio ต้องทำสิ่งที่ดีที่สุดให้กับ Studio ของพวกเค้า ทำให้สุดท้ายทาง Studio ก็ได้จ่ายเงิน bitcoin ให้กับ Hacker แต่เนื่องด้วย Coinbase ไม่ยอมให้ทำการโอนเป็นก้อนใหญ่ขนาดนั้น จึงต้องทะยอยจ่ายไปเรื่อยๆ ซึ่งใช้เวลาเป็นอาทิตย์ หลังจากนั้นเมื่อทาง Dark Overlord ก็ยืนยันว่าได้รับค่าไถ่ก้อนสุดท้ายเรียบร้อยแล้ว ก็คิดว่าเรื่องนี้จะจบลงด้วยดี แต่ทุกอย่างก็พังทลายลงเมื่อหลังจากนั้นประมาณ​ 3-4 อาทิตย์

วันที่ 31 มีนาคม ทาง FBI ก็ติดต่อกลับมายัง Studio ว่ามีการ blackmail เพิ่มเติมไปยัง Hollywood studio หลังจากนั้นไม่กี่วันทาง Studio เหล่านั้นก็ได้ติดต่อมายัง Larson Studio ซึ่งทำให้การคุยออกมายากมากเพราะเนื่องด้วย Larson Studio ไม่ได้แจ้งเรื่องข้อมูลหลุดให้กับ Studio ใน Hollywood เหล่านั้นตั้งแต่ตอนโดน hack นั่นเป็นเพราะก่อนหน้านี้มีการตกลงกับกลุ่ม Dark Overlord ว่าห้ามบอกเรื่องนี้กับใครก็แล้วแต่นั่นเอง ทาง Jill ยังบอกอีกว่าในช่วงนั้นกลุ่ม Hacker มีการติดต่อไปยังนักข่าวบางคนเพื่อให้มาถามกับทาง Larson เพื่อดูว่าทาง Larson Studio จะมีการบอกกับคนอื่นหรือไม่อีกด้วย ซึ่งในช่วงนั้น Studio เงียบไม่ตอบใดๆ ทำให้ Hacker บอกว่า Studio ทำสิ่งที่ถูกต้องแล้ว

เมื่อถึงขั้นนี้แล้ว ทาง Larson Studio ได้ตัดสินใจเล่าเรื่องทั้งหมดให้กับ Studio ต่างๆได้รับทราบ ซึ่งก็มีทั้ง Studio ที่ยกเลิกสัญญากับพวกเค้า บางบริษัทก็พยายามที่จะเข้ามาช่วยเหลือ

พอมาถึงเดือนเมษายน Dark Overlord ได้ทำการปล่อยหนังของ Netflix เพราะทาง Netflix ไม่ยอมจ่ายเงินให้นั่นเอง การปล่อยครั้งนี้เป็นการปล่อยก่อนถึงกำหนดการจริงประมาณ 1 เดือนครึ่งทีเดียว โดยทาง Netflix ปฏิเสธที่จะให้รายละเอียดใน Incident ดังกล่าว

หลังจากนั้นทาง Dark Overlord ติดต่อมายัง Larson Studio ว่าที่ทำไปเพราะว่าทาง Larson Studio ไปติดต่อ FBI ซึ่งละเมิดสิ่งที่ตกลงกันไว้นั่นเอง

จากการตรวจสอบ เหล่า security expert มองว่าไม่น่าจะเป็นการกระทำคนเดียว แต่น่าจะเป็นกลุ่ม Hacker เสียมากกว่า

จากทั้งหมดทาง Rick Larson กล่าวว่าบทเรียนนี้สอนให้รู้ว่า “อย่าเชื่อใจ Hacker โดยเด็ดขาด, การตัดสินใจจ่ายเงินค่าไถ่เป็นสิ่งที่ผิดพลาด และเราต้องขอโทษอย่างสุดซึ้งจริงๆ” Larson Studio ใช้เวลาหลายเดือนในการเชื่อมความสัมพันธ์กับเหล่าลูกค้าและเพิ่ม security ของระบบ สิ่งที่ Studio ทำคือการแยกการเก็บข้อมูลเสียงและภาพออกจากกัน, มีการเข้ารหัสไฟล์ทั้งหมด, มีการแยก network ระหว่าง computer กับที่แบบ locked down และเหตุที่เกิดขึ้นนี้ส่งผลกระทบไปทั้งวงการของ Studio ต่างๆ ทำให้ Hollywood ตื่นตัวในการทำเรื่อง security มากขึ้นมากเลยทีเดียว

Source:: Variety.com